5 เมืองสวยริมคลองเสน่ห์แห่งยุโรป
5 เมืองสวยริมคลองเสน่ห์แห่งยุโรป
วันนี้เราพาจะพาทุกคนไปชมกับความงาม 5 คลองของยุโรปเสน่ห์ที่ไม่ว่าใครมาต่างก็ต้องแวะถ่ายรูปแต่จะเป็นที่ไหนบ้างเราไปอ่านกันเลยดีกว่าค่ะ!
1.อัมสเตอร์ดัม (Amsterdam) ประเทศเนเธอร์แลนด์
เรามากันที่เมืองแรกกันเลย เมืองแรกที่จะมาแนะนำก็คืออัมสเตอร์ดัมเมืองหลวงของเนเธอร์แลนด์ เมืองนี้ตั้งอยู่ ณ ริมแม่น้ำอัมสเติล ชื่อเมืองอัมสเตอร์ดัมนั้นมีความหมายว่า “ เมืองที่ตั้งอยู่ริมเขื่อนอัมสเติล ”
เมืองอัมสเตอร์ดัมในอดีตเคยเป็นหมู่บ้านประมงมาก่อนแต่หลังจากนั้นพอถึงช่วงศตวรรษที่17 หรือก็คือยุคทองของอัมสเตอร์ดัมก็ได้กลายเป็นศูนย์กลางทางการค้าเลยทำให้สมัยนั้นมีเรือเข้าออกเมืองอัมสเตอร์ดัมกันอย่างคึกคักซึ่งระบบคลองก็ถูกสร้างขึ้นในช่วงยุคนี้ด้วยเช่นกันและในปัจจุบันนี้ระบบคลองของอัมสเตอร์ดัมก็ได้ขึ้นเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกด้วยค่ะ
กิจกรรมหลัก ๆ ที่ทุกคนสามารถทำได้เมื่อไปเมืองอัมสเตอร์ดัมก็คือการล่องเรือชมเรื่องราวของเมืองอัมสเตอร์ดัมที่ถูกเล่าผ่านตัวตึกอาคารบ้านเรือนตามคลองต่าง ๆ ตามเมือง
ถ้าคุณเป็นสายชมทัศนียภาพสองฟากฝั่งของเมืองเราขอแนะนำให้ท่านล่องเรือที่คลอง Single ค่ะ หรือถ้าเป็นสายชื่นชอบประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมเราขอแนะนำให้ไปล่องเรือที่คลอง Herengracht, Prinsengracht และ Keizersgracht แต่ถ้าคุณอยากจะลองล่องเรือเองที่นี่ก็มีเรือพายัคและแพดเดิ้ลบอร์ดให้บริการเช่นกันค่ะ
2.เวนิส (Venice) ประเทศอิตาลี
มาต่อกันที่เมืองที่สองกัน เมืองนี้ไม่ว่าใครก็ต้องเคยได้ยินชื่อเมืองนี้อย่างแน่นอนเพราะเมืองนี้ถือว่าเป็นเมืองแลนด์มาร์คของอิตาลีเลยก็ว่าได้ค่ะ
เมืองเวนิสหรืออีกชื่อหนึ่งเวเนเซียเป็นเมืองที่ได้ฉายาว่า " ราชินีแห่งทะเลเอเดรียติก " " เมืองแห่งสายน้ำ " และอีกหลากหลายฉายาที่เมืองนี้ได้รับ เมืองเวนิสถูกสร้างขึ้นจากการเชื่อมเกาะเล็ก ๆ จำนวนมากด้วยสะพานเชื่อมมากกว่า 400 สะพานเข้าไว้ด้วยกันในบริเวณทะเลสาบเวนิเทียและทะเลเอเดรียติก
เมืองเวนิสเป็นเมืองที่มีลักษณะเกาะที่ถูกเชื่อมด้วยกันทำให้การสัญจรหลักของที่เมืองนี้ไม่ใช่ทางบกแต่เป็นทางน้ำแทน ไม่ว่าจะเป็นเรือข้ามฟาก เรือสาธารณะ เรือแท็กซี่หรือแม้แต่เรือกอนโดล่า เรือที่ขึ้นชื่อและเป็นที่นิยมอย่างมากในเวนิสกับการล่องเรือชมความวิไลของอาคารและสถาปัตยกรรมต่าง ๆ รอบเมืองเวนิส เรือกอนโดล่าถือว่าเป็นของคู่กันกับเมืองเวนิสเลยก็ว่าได้ค่ะ นึกถึงเวนิสก็ต้องมีเรือกอนโดล่าใช่ไหมละคะ
3.บรูจส์ (Bruges) ประเทศเบลเยียม
มาต่อกันที่เมืองที่สามกันต่อมาค่ะ เมืองที่สามที่เราจะมาแนะนำก็คือ เมืองบรูจส์ นั่นเอง!! เมืองบรูจส์อดีตเมืองท่าที่สำคัญของประเทศเบลเยียมและยังเป็นเมืองที่สำคัญของจังหวัดเวสต์ฟลานเดอร์ด้วย
เมืองบรูจส์ถือว่าเป็นเมืองที่สำคัญมากในทางด้านประวัติศาสตร์ไม่ว่าจะเพราะเคยเป็นเมืองท่ามาก่อนหรือแม้แต่ทางด้านศิลปะในยุคจิตรกรรมเนเธอร์แลนด์เริ่มแรก (Early Netherlandish Painting) เมืองนี้ก็ถือว่าเป็นเมืองที่สำคัญด้วยเช่นกัน
เมืองบรูจส์มีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า " เวนิสแห่งยุโรปเหนือ " แล้วอะไรที่ทำให้เมืองนี้ถูกเรียกว่าเวนิสแห่งยุโรปเหนือกันละ มันก็เป็นเพราะว่าเมืองบรูจส์เป็นเมืองที่อยู่ติดกับทะเลเหนือแล้วยังล้อมรอบไปด้วยลำคลองต่าง ๆ เลยทำให้ถูกเรียกว่าเวนิสแห่งยุโรปเหนือ
เมืองบรูจส์เป็นเมืองดั้งเดิมที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเป็นชาวเบลเยียมอย่างแท้ ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านศิลปะ วัฒนธรรมหรือบ้านเรือนที่ถูกสร้างด้วยสถาปัตยกรรมโกธิคที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีจนได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก
ที่นี่ทุกคนสามารถเทียบเรือได้ 5 แห่งในเมืองบรูจส์และระหว่างการล่องเรือชมสถาปัตยกรรมอยู่อาจจะมีเหล่าน้องหงส์ออกมายลโฉมให้เราเห็นก็ได้ และอีกหนึ่งสถานที่ลับไม่ควรพลาดเลยสำหรับคู่รักก็คือ Minnewaterpark หรือ Lake of Love
cr. Jan D' Hondt/VisitBruges
Minnewaterpark หรือ ทะเลสาบแห่งรัก อยู่ที่ทางตอนใต้ของเมืองบรูจส์ ในสวนสาธารณะMInne ที่ทะเลสาบแห่งนี้มีเรื่องเล่าอันน่าเศร้าระหว่าง MInne และ Stromberg ชายที่เป็นที่รักของเธอ เรื่องราวของทั้งคู่ได้กลายเป็นเรื่องเล่าประจำท้องถิ่นว่า " หากคุณเดินข้ามสะพานของทะเลสาบนี้พร้อมกับคู่รัก คุณจะได้สัมผัสกับความรักนิรันดร์ " เพราะเรื่องเล่านี้เองจึงทำให้ทะเลสาบแห่งความรักกลายเป็นสถานที่โรแมนติก คุณสามารถเพลิดเพลินกับทิวทัศน์จากสะพานของทะเลสาบหรือจากม้านั่งที่อยู่บริเวณริมทะเลสาบได้อย่างเต็มที่ค่ะ
4.หมู่บ้านกีธูร์น (Giethoon) ประเทศเนเธอร์แลนด์
เดินทางมาถึงลำดับรองสุดท้ายกันแล้วนะคะ รอบนี้กลับมาที่เนเธอร์แลนด์ประเทศแห่งทุ่งทิวลิปและกังหันลมกันอีกครั้ง แต่คราวนี้เราไม่ได้อยู่ในตัวเมืองหลวงอย่างอัมสเตอร์ดัมแต่เป็นหมู่บ้านที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหมู่บ้านที่ไม่มีถนน ซึ่งหมู่บ้านดังกล่าวมีชื่อว่า หมู่บ้านกีธูร์น ค่ะ
หมู่บ้านกีธูร์นเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ระหว่างเมืองซโวลเลอและเมืองสตีนวิก หมู่บ้านแห่งนี้ได้รับสมญานามว่าเป็น ' หมู่บ้านไร้ถนน ' เพราะผู้คนที่นี่จะสัญจรกันทางเรือแทนรถยนต์ ดังนั้นที่หมู่บ้านนี้จึงมีคูคลองลัดเลาะตามรอบหมู่บ้านแทนถนนค่ะ บ้านที่นี่ทุกหลังจะมีเรือเป็นพาหนะประจำครัวเรือนจึงทำให้ที่นี่มีบรรยากาศดีไม่มีมลพิษที่มาจากรถยนต์แถมที่นี่ยังเต็มไปด้วยต้นไม้และดอกไม้บานตามบริเวณบ้าน บ้านที่นี่ถูกออกแบบให้มีความเป็นกระท่อมยุโรปตะวันตกมีสะพานไว้เชื่อมบ้านเข้าหากันค่ะ
นอกจากที่นี่จะมีกิจกรรมล่องเรือไปตามลำคลองเป็นหลักแล้วยังพิพิธภัณฑ์เอาใจสายประวัติศาสตร์ด้วยพิพิธภัณฑ์ที่นี่จัดแสดงโบราณวัตถุที่มีประวัติอันยาวนานเอาไว้มากมายให้นักท่องเที่ยวเข้ามาศึกษาหรือแวะชมกันได้ค่ะ แถมที่หมู่บ้านนี้ยังมีร้านอาหารพื้นเมือง คาเฟ่ และร้านกาแฟไว้ให้ใช้บริการอีกด้วย ใครที่อยากจะรับประทานพร้อมกับนั่งกินลมชมวิวก็สามารถมานั่งได้นะคะ
5.อานน์ซี (Annecy) ประเทศฝรั่งเศส
แล้วเราก็เดินทางมาจนถึงเมืองสุดท้ายกันแล้วนะคะ เมืองสุดท้ายที่จะมาแนะนำคือเมืองอานน์ซี ประเทศฝรั่งเศส ประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องน้ำหอม แฟชั่น ความโรแมนติก ศิลปะและนวัตกรรมทางการแพทย์
เมืองอานน์ซีเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดโอต-ซาวัว แคว้นโอแวร์ญ-โรนาลป์ ตั้งอยู่บริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศส ทางด้านทิศเหนือของเมืองติดกับภูเขาแอลป์และทะเลสาบอานน์ซี ทะเลสาบอานน์ซีเป็นทะเลสาบที่เกิดจากการละลายของธารน้ำแข็งมาตั้งแต่ 18,000 ปีที่แล้ว
แม่น้ำ Thiou ก็เป็นแม่น้ำที่มาจากทะเลสาบดังกล่าวแล้วไหลเข้าสู่ตัวเมืองลัดเลาะไหลผ่านตามอาคารบ้านเรือน จึงทำให้ที่นี่มีฉายาว่า " เวนิสแห่งซาวัว " ค่ะ
สิ่งที่ไม่ควรพลาดเลยเมื่อมาที่อานน์ซีก็คือ " เขตเมืองเก่า " ที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยบ้านเรือนสถาปัตยกรรมเก่าที่ถูกทาด้วยสีพาสเทลตามแนวลำคลองและยังเต็มไปด้วยคุณค่าทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ไม่ว่าจะเป็น
Palais D'Isle
คุกเก่ารูปสามเหลี่ยมที่แต่เดิมเคยเป็นปราสาทก่อนจะถูกเปลี่ยนให้เป็นคุกและศาลในอีกร้อยปีต่อมาและในปัจจุบันได้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงประวัติของเมืองอานน์ซีและได้รับการประกาศเป็นอนุสาวรีย์ทางประวัติศาสตร์ในปี ค.ศ. 1900
โบสถ์ Eglise Notre-Dame-De-Liesse
ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ Thiou สร้างขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่14 แต่โดนทำลายไปช่วงปฏิวัติฝรั่งเศส ส่วนอาคารที่เห็นกันในปัจจุบันนั้นเป็นสถาปัตยกรรมที่ถูกสร้างขึ้นมาแทนใหม่เมื่อศตวรรษที่18 ค่ะ
Pont des Amours
มากันที่สถานที่สุดท้ายของเมืองนี้นะคะ Pont De Amours หรือสะพานแห่งรักเป็นสะพานคนเดินที่เชื่อมกับสวนสาธารณะ ว่ากันว่าถ้าใครได้มาพบกันกลางสะพานและได้จูบกับคนรักที่นี่พวกเขาทั้งคู่จะได้ครองคู่กันตลอดไป ดังนั้นที่นี่จึงเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่นักท่องเที่ยวที่มากันเป็นคู่ค่ะ