เจาะลึกการท่องเที่ยวในแบบอีโน ฉบับสก๊อตแลนด์ (Eno Tourism)

ไปเที่ยวทั้งทีก็อยากไปดูอะไรที่แปลกใหม่ ได้สัมผัสวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม ไม่ใช่สถานที่ที่สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว ถ้าหากคุณรู้สึกเหมือนกันล่ะก็....มาถูกทางแล้ว เอฟเวนิวทัวร์มีไอเดียการเที่ยวสก็อตแลนด์ที่แปลกใหม่ น่าสนใจ และรับรองว่าไม่ซ้ำใครแน่นอน!! จะเป็นสถานที่แบบไหนไปดูกัน

มาทำความรู้จักกับ Eno Tourism
ต้องขอบอกก่อนเลยนะคะว่าการท่องเที่ยวแบบ อีโนทัวร์ (ENO TOURISM) หรือแปลเป็นไทยง่ายๆว่า "การเดินทางท่องเที่ยวเพื่อเรียนรู้วิธีการทำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตั้งแต่ต้นจนจบ" ซึ่งการท่องเที่ยวรูปแบบนี้มีมาตั้งแต่ค.ศ.1976 (พ.ศ.2518) ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เพราะวัฒนธรรมการกินอาหารในทุกๆมื้อจะต้องมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อยหนึ่งชนิด ไม่ว่าจะเป็นไวน์ วิสกี้ และเบียร์ ด้วยสภาพอากาศที่หนาว และราคาที่ถูกกว่าน้ำเปล่า ชาวยุโรปจึงนิยมดื่มเพื่อสร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกายซึ่งทำให้การท่องเที่ยวรูปแบบนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
ทำไมต้องวิสกี้? ทำไมต้องสก็อตแลนด์?
ถ้าพูดถึงไวน์ดีทุกคนก็คงนึกถึงฝรั่งเศส แล้วถ้าเป็นวิสกี้ล่ะทุกคนคิดถึงที่ไหน? ต้องวิสกี้สก็อตแลนด์เท่านั้น! เพราะถือเป็นเครื่องดื่มประจำชาติของสกอตแลนด์เลยก็ว่าได้ โดยวิสกี้ได้รับการยกย่องให้เป็นเครื่องดื่มประจำชาติตั้งแต่ปี ค.ศ. 1994 ซึ่งกว่าจะได้แบรนด์ที่ขึ้นชื่อว่า วิสกี้สก็อตฯ ทุกกระบวนการตั้งแต่ต้นจนจบจะต้องเกิดขึ้นภายในประเทศเท่านั้นนะคะ ถ้าผลิตที่อื่น หรือสิ้นสุดที่อื่นแล้วนำมาบรรจุที่สก็อตฯ ก็ไม่สามารถที่จะบอกว่าเป็นวิสกี้สกอตแท้ๆได้ ว่าแต่เคยสงสัยมั้ยคะว่าทำไมวิสกี้สก็อตฯถึงเป็นวิสกี้ที่ดีที่สุด และเป็นที่ต้องการมากที่สุดในโลก...? ไปไขเคล็ดลับนี้กัน

กว่าจะมาเป็นวิสกี้สก็อต
จุดเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2363 นายจอห์น วอล์คเกอร์ เอาข้อเสียของวิสกี้มาปรับปรุงให้ดีขึ้น ในสมัยก่อนวิสกี้จะผลิตร้านใครร้านมัน เหมือนเหล้าเถื่อนบ้านเราที่ต้มเองขายเองประมาณนี้ค่ะ ในสก๊อตแลนด์ก็เหมือนกันปัญหาของวิสกี้ช่วงนั้นก็คือรสชาติที่ไม่คงที่เท่าไหร่ ถึงจะเป็นวิสกี้ขวดเดิมแต่รสชาติก็เปลี่ยน จอห์น วอล์คเกอร์เลยเอาปัญหานี้มาแก้ไขจนได้วิสกี้ที่รสชาติดีและคงที่ จนเป็นที่เลื่องลือของยุคนั้น จนมาถึงยุคปัจจุบัน

เคล็ดลับที่ถ่ายทอดมาหลายศตวรรษ
ขั้นตอนการทำวิสกี้ส่วนใหญ่จะใช้ข้าวบาร์เลย์หมักกับน้ำเปล่า ถ้าเป็นเหล้าขาวบ้านเราจะใช้ลูกแป้งที่ผสมเป็นก้อนนำมาต้มอีกที ขั้นตอนการทำจะแตกต่างกันก็ตรงนี้แหละค่ะ แล้วก็จะได้สีก็แตกต่างกันด้วย โดยวิสกี้จะใช้ข้าวบาร์เลย์หมักจนได้เป็น มอลต์ ง่ายๆก็คือเมล็ดข้าวบาร์เลย์ที่มีรากงอกออกมา ในขั้นตอนนี้จะเรียกว่าการเพาะมอลต์ เสร็จแล้วก็จะนำไปบดแล้วไปผสมกับส่วนประกอบอื่นๆ แล้วแต่ว่าจะต้องการรสชาติแบบไหน แต่เคล็ดลับทั้งหมดยังไม่ใช่แค่นี้นะคะ ยังมีกระบวนการกลั่นอีกทีเพื่อให้ได้ระดับความเข้มข้นของ แอลกอฮอล์ พอเสร็จขั้นตอนนี้ก็เอาไปหมักในถังไม้โอ๊กอีกที ในขั้นตอนนี้ก็ถือว่าสำคัญมากๆ เพราะบริษัทจะนำถังไม้โอ๊กไปรนไฟเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ทำให้ตัวถังไม้มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ในการหมักเหล้าด้วยถังไม้โอ๊กนั้นจะหมักกี่ปีนั้นขึ้นอยู่กับความต้องการของทางบริษัทอีกที ยิ่งหมักนานเท่าไหร่ยิ่งดี โดยขั้นต่ำจะอยู่ที่ 3 ปีขึ้นไปหลังจากนั้นก็จะนำมาปรุงแต่งรสชาติให้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแบนด์ และสิ่งที่ถือว่าเป็นหัวใจในการทำอีกอย่างหนึ่งก็คือน้ำที่มาผสม เพราะน้ำที่ใช้จะไม่ใช่น้ำปะปาหรือน้ำก็อกทั่วไป แต่จะใช้เป็นน้ำแร่ที่มีรสชาติเฉพาะตัว ถือว่าเป็นเคล็ดลับในการทำวิสกี้สก๊อตเลยก็ว่าได้

การปรับเปลี่ยนตามยุคสมัย
การตลาด และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ถือว่าเป็นส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งในการพาแบรนด์ให้อยู่มาอย่างยาวนานเหมือนทุกวันนี้ กว่าจะได้ชื่อว่า วิสกี้สกอต ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยนะคะ เพราะการแข่งขันจากทุกมุมโลกเอย ทั้งการวิวัฒน์พัฒนาตามยุคเทคโนโลยี และการเท่าเทียมกัน ทางบริษัทจึงได้ออกแบบสินค้าที่ชูเอกลักษณ์ของวิสกี้สก็อตขึ้นมา เช่น บลู เทเบิ้ล (Blue Label) ที่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ขึ้นชื่อที่สุด โดยคัดสรรมาจาก 1 ใน 10,000 ถัง กว่าจะได้วิสกี้รุ่นนี้มา , รุ่น ไวซ์ วอล์คเกอร์ (Johnnie White Walker) ซึ่งถือได้ว่าเป็นรุ่นลิมิตเต็ดเลยก็ว่าได้ โดยได้รับแรงบัลดาลการออกแบบมาจากซีรีย์ชื่อดังอย่าง Game of Thrones, รุ่นพิเศษที่ผลิตเพื่อชาวไทยโดยเฉพาะ มีแค่ 50 ขวด คือรุ่น John Walker & Sons Siam Blend, หรือจะเป็นเจน วอล์คเกอร์ Jane walker ก็เป็นหนึ่งในรุ่นลิมิตเต็ดเช่นกัน ที่ทำขึ้นมาเพื่อฉลองวันสตรีสากล (วันที 8 มีนาคม 2018 แคมเปญนี้จะบริจาคยอดขายทุก 1 ขวด เท่ากับ 1 เหรียญสหรัฐเพื่อการกุศลในการช่วยเหลือสตรีในสโลแกน จอห์นนี่ วอล์คเกอร์ พร้อมเดินไปด้วยกันอย่างเท่าเทียมกัน นั่นเอง) ยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้ยังมี อีกหลายรุ่นที่พัฒนาจนทำให้แบรนด์วิสกี้สกอตมีชื่อเสียงจนติดอันดับมาจนถึงทุกวันนี้ เหมาะกับการซื้อเพื่อสะสม เพราะนอกจากดีไซน์ที่ควรค่าแก่การเก็บแล้ว ในเรื่องของราคาก็ยังพุ่งสูงขึ้นในทุกๆ ปีอีกด้วย
(ขอขอบคุณรูปภาพจาก Pixabay,unsplash และข้อมูลจาก Chaopraya,Diageo,Youtuber L-ก-ฮ Lcorhor,Youtuber Nok Scots Life,Youtuber LUPAS)


